อาหารคนท้อง เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ทั้งคุณแม่กับลูกในครรภ์มีความแข็งแรงเป็นส่วนช่วยพัฒนาในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทั้งก่อนคลอด และหลังคลอดให้มีการเจริญเติบโตสมวัยไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือสมอง ซึ่งนอกจากการทานอาหารให้ครบ 5 หมู่แล้วก็ควรเน้นสารอาหารอื่น ๆ ให้มากเป็นพิเศษโดยอาหารที่แนะนำสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ก็มีดังนี้
อาหารคนท้อง ที่คารเน้นทานเป็นประจำ
อาหารที่มี DHA สูง – อาหารอย่างเช่น ปลาทะเล อะโวคาโด ไข่แดง อุดมไปด้วย DHA ที่จะไปช่วยพัฒนาทางสมอง ดวงตา และระบบประสาทของลูกในท้อง ยังอาจช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนเช่นการคลอดก่อนกำหนด หรือโรคซึมเศร้าหลังคลอดได้อีกด้วย
อาหารที่มีโปรตีนสูง – อาหารโปรตีนสูงอย่างเช่นไข่ เนื้อสัตว์ต่าง ๆ มีส่วนต่อการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆ ของทารกในครรภ์ และช่วยเสริมสร้างน้ำนมให้กับคุณแม่
อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง – อาหารอย่างเช่น เนื้อแดง ไข่แดง ตับ และผักสีเขียวเข้ม อุดมไปด้วยธาตุเหล็กที่มีส่วนช่วยป้องกันภาวะโลหิตจาง และน้ำหนักแรกเกิดน้อยกว่าเกณฑ์ปกติ
อาหารที่มีโฟเลตสูง – กรดโฟเลต มีมากใน ตับ ไข่ ผักใบเขียว และถั่วต่าง ๆ ซึ่งมีส่วนช่วยพัฒนาของระบบประสาทและสมองของลูกน้อยได้เป็นอย่างมาก
อาหารคนท้อง ควรมีแคลเซียมสูง – อาหารอย่างเช่น ชีส เนย หรือโยเกิร์ต จะช่วยการเสริมสร้างกระดูก และฟันให้แข็งแรง รวมไปถึงการพัฒนาการเจริญโตของลูกน้อย
อาหารที่มีไอโอดีนสูง – ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม กระเทียม หรืองา อุดมไปด้วยไอโอดีนที่จะช่วยทำระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในร่างกายมีความเป็นปกติเป็นการป้องกันภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ เช่น โรคไทรอยด์
อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต – จะช่วยลดอาการแพ้ท้องคลื่นไส้ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ได้ แต่ไม่ควรทานมากเกินไปเพราะจะทำให้เป็นโรคอ้วนได้
อาหารที่มีโคลีน – พบมากในอาหารจำพวก ไข่ เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน แซลมอน ไก่ บร็อคโคลี กะหล่ำดอก ที่จะช่วยบำรุงระบบประสาท และสมอง ของทารกในครรภ์
อาหารที่มีไฟเบอร์สูง – เช่น ผัก และผลไม้ต่าง ๆ จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ โรคความดันโลหิตสูงได้
อาหารคนท้อง ที่มีโอเมก้า 3 – อาหารจำพวกถั่วต่าง ๆ ไข่ ดอกกะหล่ำ แซลมอน ช่วยเสริมสร้างสุขภาพหัวใจ ระบบภูมิคุ้มกัน สมอง และดวงตา ยังช่วยต่อสู้กับภาวะซึมเศร้าหลังคลอดได้อีกด้วย
แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้ อาหารคนท้อง ควรต้องเน้นสารอาหารต่าง ๆ มากเป็นพิเศษแต่ก็ควรได้รับในปริมาณที่เหมาะสม โดยอาจจะมีการศึกษาเพิ่มเติมว่าในแต่ละวันควรรับในปริมาณเท่าไหร่ หรือควรปรึกษาแพทย์ก็จะเป็นการดีที่สุด